fbpx

ฮีโมโกลบิน คือ อะไร? มาทำความเข้าใจเรื่อง ผลตรวจเลือด กัน

สิงหาคม 20, 2019
blood test results

ผลตรวจเลือด ( Blood Tests ) คือ การบ่งชี้การทำงานของอวัยะต่าง ๆ ภายในร่างกาย หรือเป็นการแสดงผลการตรวจวิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงของสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหรือสภาวะบางอย่างที่ผิดปกติของร่างกายได้ โดยการตรวจเลือดจะตรวจเพื่อทำการประเมินสุขภาพโดยรวม เช่น ตรวจสอบการติดเชื้อ , ตรวจสอบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย , ตรวจสอบสภาวะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ผลตรวจเลือดที่ได้จะมาจากการนำตัวอย่างเลือดไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ จากนั้นจึงตีผลออกมาเป็นค่าต่าง ๆ โดยเทียบกับค่าผลเลือดปกติให้เราได้เห็นเพื่อแสดงให้ทราบว่าสุขภาพของผู้ที่เข้ารับการตรวจนั้นเป็นอย่างไรบ้าง หมอขอแนะนำวิธีอ่านค่า ผลตรวจเลือด พื้นฐานทั่วไปนะคะ

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ( Complete Blood Count : CBC )

คือ การตรวจสุขภาพโดยการนับปริมาณและการดูรูปร่างของเซลล์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเลือด ซึ่งผลของการวัดค่าต่าง ๆ จะบ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมและค่าสภาวะของเลือดของผู้รับการตรวจว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด จะแสดงข้อมูลผลเลือดที่สำคัญ 3 กลุ่ม ได้แก่

  • เม็ดเลือดแดง ( Red Blood Cell : RBC )
  • เม็ดเลือดขาว ( White Blood Cell : WBC )
  • เกล็ดเลือด ( Platelet : PLT )
  • การแปลผลความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ค่าแต่ละชนิดสามารถแปลความความหมายได้ดังนี้

1.1 ฮีโมโกลบิน

ฮีโมโกลบิน ( Hemoglobin : Hb / HGB ) คือ ค่าระดับโปรตีนหรือสารสีแดงในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่จับกับออกซิเจน เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย การตรวจสารฮีโมโกลบินเป็นการตรวจเพื่อบ่งบอกว่าร่างกายมี ภาวะเลือดจาง หรือมี ค่าเลือดจาง หรือไม่ ซึ่งได้มีการกำหนดค่าผลเลือดมาตรฐานไว้ดังนี้

ค่าเลือดปกติของฮีโมโกลบินสำหรับเพศชายและเพศหญิง คือ?

  • ค่าฮีโมโกลบินมาตรฐานสำหรับผู้ชาย = 13.5-17.5 g/dL
  • ค่าฮีโมโกลบินมาตรฐานสำหรับผู้หญิง = 12.0-15.5 g/dL
  • ถ้าค่าฮีโมโกลบินที่ตรวจวัดได้มีค่าน้อยกว่ามาตรฐานในตารางด้านบนแสดงว่าผู้เข้ารับการตรวจมีภาวะ โลหิตจาง ( Anemia ) เกิดขึ้น ส่งผลให้เลือดไม่สามารถพาออกซิเจนไปเข้าสู่ร่างกายได้เพียงพอต่อความต้องการ หรือหากค่าฮีโมโกลบินที่ตรวจวัดได้มีค่าสูงกว่ามาตรฐานในตารางด้านบนแสดงว่าผู้เข้ารับการตรวจมีภาวะ เลือดแดงมาก หรือ ภาวะเลือดหนืด

ภาวะเลือดหนืด ( Polycythemia ) คือ ภาวะที่ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงในจำนวนที่มากผิดปกติ ส่งผลให้เลือดมีความเข้มข้นสูง ไหลเวียนได้ช้าลง และมีความเสี่ยงที่เม็ดเลือดแดงเกิดการอุดตันที่หลอดเลือดฝอยได้ ซึ่งลักษณะนี้จะพบได้น้อยมาก

1.2 ฮีมาโทคริต

ฮีมาโทคริต ( Hematocrit : HCT ) คือ ค่าปริมาณความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาตรของเลือดทั้งหมด ซึ่งค่านี้จะแสดงโดยการวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นค่าที่ใช้บ่งบอกสภาวะโลหิตจางเช่นเดียวกับค่าฮีโมโกลบิน ซึ่งได้มีการกำหนดค่าผลเลือดมาตรฐานว่าความเข้มข้นของเลือดปกติเท่าไหร่ดังนี้
ค่าเลือดปกติของฮีมาโทคริตสำหรับเพศชายและเพศหญิง คือ

ค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชายมีค่าประมาณ = 40-50 %
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้หญิงมีค่าประมาณ = 35-47%
ถ้าค่าฮีมาโทคริตมีค่าน้อยกว่าค่ามาตรฐานแสดงว่าร่างกายอาจจะอยู่ในสภาวะโลหิตจาง แต่ถ้าค่าฮีมาโทคริตมากกว่ามาตรฐานแสดงว่ามีภาวะเลือดหนืดเช่นเดียวกับค่าของฮีโมโกลบิน ซึ่งในการตรวจเลือดทั่วไปแล้วผลตรวจเลือดของฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริตจะไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นโรคโลหิตจางหรือไม่ และค่าฮีมาโทคริตจะมีค่ามากกว่าค่าฮีโมโกลบินประมาณ 3 เท่าเสมอ

นอกจากนี้ฮีมาโทคริตยังมีมีชื่อเรียกอื่นอีกได้แก่ Erythrocyte Volume Fraction ( EVF ) หรือ Packed cell volume ( PCV )

1.3 การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว

การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว ( White Blood Cell Count : WBC ) คือ จำนวนของเม็ดเลือดขาวทุกชนิดที่มีทั้งหมดในเลือดในขณะที่ทำการตรวจ

ค่าผลเลือดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาว คือ

ค่ามาตรฐานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ( ค่า WBC ) ที่สภาวะปกติ คือ ประมาณ 4,500-10,000 cell/ml ( cells/mm3 )
ถ้าค่าจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวมีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน แสดงว่า ร่างกายอยู่ใน สภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ( Leukopenia ) อาจเกิดจากภาวะติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ความผิดปกติของไขกระดูก ภาวะแพ้ภูมิตัวเอง
ถ้าค่าจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวมีค่าสูงกว่ามาตรฐาน แสดงว่า ร่างกายอยู่ใน สภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอักเสบหรือติดเชื้อภายในร่างกายทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อมาจัดการกับเชื้อโรคหรือไขกระดูกมีความผิดปกติ ( Myeloproliferative Disorder ) ที่ส่งผลให้ไขกระดูกสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมากขึ้นผิดปกติ เป็นต้น
การรายงานจำนวนของเม็ดเลือดขาวนั้น นอกจากจะรายงานเป็นผลรวมของเซลล์เม็ดเลือดขาวทั้งหมดที่ตรวจพบแล้ว ยังสามารถรายงานแยกเป็นจำนวนเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดได้ด้วย ซึ่งเรียกการรายงานผลแบบนี้ว่า White Blood Cell Differential ( WBC Differential )

ชนิดของเม็ดเลือดขาว

  • นิวโทรฟิล ( Neotrophil : NEUT ) คือ เม็ดเลือดขาวที่มีพบอยู่ในเลือดมากที่สุด มีหน้าที่ต่อต้าน เชื้อรา ( Fungi ) และ เชื้อแบคทีเรีย ( Bacteria ) จากภายนอกที่เข้ามาในร่างกาย นิวโทรฟิลเป็นเม็ดเลือดขาวด่านแรกมีหน้าที่ดักจับเชื้อโรค เมื่อนิวโทรฟิลตายจะกลายเป็น น้ำหนอง ( Pus ) ค่าของนิวโทรฟิลจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 cells/ml หรือประมาณ 40-80% ค่าของนิวโทรฟิลจะมีค่าสูงเมื่อร่างกายของผู้ตรวจสุขภาพอยู่ในสภาวะติดเชื้อ
  • ลิมโฟไซต์ ( Lymphocytes : LYMP ) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการต่อต้าน เชื้อไวรัส ( Virus ) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
    T Cell มีหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรค
  • B Cell มีหน้าที่ในการสร้าง Antibody เพื่อจับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย
  • NK Cell มีหน้าที่ในการกำจัดเซลล์ที่เกิดการติดเชื้อการอ่านค่าผลเลือดโดยรวมของเซลล์ทั้ง 3 ชนิด จะมีค่าประมาณ 20-40% หรือประมาณ 1,000-3,000 cells/ml ค่าลิม โฟไซต์จะมีค่าสูงเมื่อมีการติดเชื้อไวรัสอย่างเฉียบพลัน เช่น การติดเชื้ออีสุกอีใส การติดเชื้อหัด การติดเชื้อวัณโรค เป็นต้น
  • โมโนไซต์ ( Monocyte : MONO ) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคและจดจำลักษณะของเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะพบได้เล็กน้อยในกระแสเลือด การตรวจจะมีค่ามาตรฐานประมาณ 2-10 % หรือประมาณ 200-1,000 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่อผู้ตรวจสุขภาพอยู่ในระยะฟื้นตัวจากการติดเชื้อ
  • อีโอซิโนฟิล ( Eosinophils : EOS ) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการต่อต้านพยาธิ อารอักเสบหรืออาการแพ้ต่างๆ โดยอีโอซิโนฟิลจะปล่อย เอ็นไซม์ ( Enzyme ) และสารเคมีกลุ่ม ไซโตไคน์ ( Cytokine ) มีค่ามาตรฐานประมาณ 1-6% หรือ 20-500 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่ออยู่ใน สภาวะภูมิแพ้ ( Allergy ) หรือสภาวะที่มีพยาธิอยู่ในร่างกาย
  • เบโซฟิล ( Basophils ) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่เหมือนกับอีโอซิโนฟิล แต่เบโซฟิลจะปล่อย สารฮีสตามีน ( Histamine ) ซึ่งมีหน้าหน้าที่ในการก่อ ปฏิกิริยาภูมิแพ้ ( Anaphylaxis ) ซึ่งมีค่ามาตรฐานน้อยกว่า 1-2 % หรือ 20-1,000 cell / ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น การแพ้อาหาร ลมพิษ หรือการเกิดการอักเสบชนิดเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น

1.4 ค่าเกร็ดเลือด

ค่าเกร็ดเลือด ( Platelet Count : PLT ) คือ จำนวนของเกร็ดเลือดหรือเม็ดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดที่มีอยู่ในเลือด เกร็ดเลือดสร้างจากไขกระดูก เกร็ดเลือดจะมีอายุอยู่ประมาณ 8-9 วัน หลังจากที่เกร็ดเลือดหมดอายุจะถูกกำจัดโดยตับและม้าม เกร็ดเลือดมีหน้าที่ทำให้ เลือดแข็งตัว ( Blood Clotting ) ป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียเลือดมาก โดยเมื่อร่างกายเกิดบาดแผลหรือมีเลือดไหล เกร็ดเลือดจะมีการพองตัวและรวมตัวกันเป็นกลุ่มทำเลือดเป็นก้อนเหนียวในหลอดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดเป็นการหยุดการไหลของเลือดนั่นเอง ค่าเกร็ดเลือดปกติมาตรฐานอยู่ที่ 130,000 – 400,000 cell/ml

ค่าเกร็ดเลือดต่ำ ( Thrombocytopenia ) คือ มีค่าเกร็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 cell/ml จะส่งผลให้เลือดหยุดไหลช้าเมื่อเกิดบาดแผล และมีการเกิด จุดเลือดออก ( Petechia ) ขึ้นตามผิวหนัง
ค่าเกร็ดเลือดสูง ( Thrombocytosis ) คือ มีค่าเกร็ดเลือดมากกว่า 400,000 cell/ml จะส่งผลให้เลือดจะแข็งตัวเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดมีการแข็งตัวในหลอดเลือดจนเกิดการอุดตันของหลอดเลือด
ตัวอย่างตารางผลตรวจเลือด

ตารางผลเลือด
ค่าเกร็ดเลือดนอกจากจะรายงานในรูปแบบของ Platelet Count แล้วยังมีการรายงานในผลของเกร็ดเลือดในแบบ Platelet morphology คือ การตรวจดูจำนวน ขนาดและรูปร่างของเกร็ดเลือดโดยละเอียด ว่ามีการจับตัวเป็นกลุ่ม ( Clumping ) หรือไม่ เพราะว่าถ้าเกร็ดเลือดมีการจับตัวเป็นกลุ่มอาจจะทำให้มีความเสี่ยงในการแข็งตัวของเลือดได้ ซึ่งการรายงานผลจะแจ้งว่าเพียงพอหรือไม่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งจะรายงานคู่กับกับการรายงานแบบ Platelet Count เสมอ
ผลตรวจเลือด คือ หนึ่งในขั้นตอนการตรวจสุขภาพเพื่อตรวจสอบค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในเลือดของผู้ที่เข้ารับการตรวจ

2. กรุ๊ปเลือด

กรุ๊ปเลือด ( Blood Group ) คือ การบ่งบอกว่าเลือดอยู่ในหมู่เลือดใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

2.1 ระบบ ABO System

ระบบ ABO System คือ ระบบที่นิยมนำมารายงานผลของกรุ๊ปเลือดโดยทั่วไป โดยจะระบุว่าเลือดของผู้เข้ารับการตรวจเลือดอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งกลุ่มเลือดจะแบ่งออกเป็น 4 กรุ๊ป คือ กรุ๊ป A กรุ๊ป B กรุ๊ป O และกรุ๊ป AB

2.2 ระบบ Rh system

ระบบ Rh system คือ การระบุหมู่เลือดตาม Antigen บนเม็ดเลือด

ระบบ Rh จะมีอยู่ 2 หมู่ คือ

  • Rh+ve หรือ +ve คือ เม็ดเลือดแดงที่มี Rh ( Rhesus ) Antigen ซึ่งคนไทยส่วนมากจะมีกลุ่มเลือดอยู่ในกลุ่มเลือดนี้
  • Rh-ve หรือ –ve คือ เม็ดเลือดแดงที่ไม่มี Rh ( Rhesus ) Antigen ซึ่งคนที่มีเลือดในกลุ่มนี้จะพบได้ไม่มากนักในคนไทย

“สุขภาพดีเป็นสุนทรียภาพและความงามคือความสุข”

ปรึกษาสอบถามเรื่องสุขภาพได้ที่

ADD US ON LINE
FACEBOOK PAGE
โทร (Call) +662 661 4431
อีเมล์ (E-mail) info@drorawan.com

#drorawan #sukhumvit #docter #skin #holistic #beauty #สุขภาพ #ความงาม #tips

Related Blogs/บทความที่น่าสนใจ

7 habits of emotionally intelligent person
Posted by Dr. Orawan | พฤษภาคม 21, 2021
นิสัย 7 ประการของผู้ฉลาดทางอารมณ์
กล่าวโดยสรุป ผู้ที่มีความฉลาดท...
what is probiotic
Posted by Dr. Orawan | พฤษภาคม 21, 2021
Probiotics คืออะไร? สุขภาพดี…เริ่มต้นที่ลำไส้
การที่จะทำให้ลำไส้ของเราแข็งแร...
โรคเบาหวาน ความดัน
Posted by Dr. Orawan | พฤษภาคม 21, 2021
แอบฟังเซลล์ในร่างกายคุย(บ่น)กัน
แอบฟังเซลล์ในร่างกายคุย(บ่น)กั...