“โรคมะเร็ง” เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นของคนทั่วโลก ในแต่ละปีคนป่วยด้วยโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เพิ่มประมาณ 18 ล้านคน และเสียชีวิตปีละเกือบ 10 ล้านคน แต่อีกไม่นานมนุษย์จะพิชิตโรคร้ายนี้อย่างราบคาบ….เพราะสามารถคิดค้นวิธีรักษาโดยใช้แอนตี้บอดี้หรือภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนจัดการกับเซลล์มะเร็งร้ายอย่างได้ผล….
2 คุณหมอนักวิจัยที่ค้นพบวิธีการรักษามะเร็งด้วยการใช้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ถูกยกย่องจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2018 ไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ศ.ดร.เจมส์ อัลลิสัน (James Allison) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเท็กซัสของอเมริกา และศ.นพ.ทาสุกุ ฮอนโจ (Tasuku Honjo) แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto University)
ปกตินักวิจัยทางการแพทย์ที่จะได้รับรางวัลโนเบลนั้นต้องรอคอยพิสูจน์ผลงานของตัวเองไม่ต่ำกว่า 30–40 ปี แต่สำหรับคุณหมอ 2 ท่านนี้ คณะกรรมการตัดสินมอบให้ภายในเวลาเพียง 20 กว่าปี เนื่องจากเป็นการค้นพบและพิสูจน์ได้ว่าวิธีการใช้แอนตี้บอดี้มารักษาโรคมะเร็งร้ายสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยจำนวนมากได้จริง หรือเรียกภาษาการแพทย์ว่า “การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็ง”(Cancer Immunotherapy)
หลังจากหมออัลลิสันและคุณหมอฮอนโจ ค้นพบวิธีรักษานี้ได้เมื่อปี 1995 สถาบันวิจัยและบริษัทยาทั่วโลกต่างนำไปทดลองศึกษาต่อยอดจนสามารถผลิตเป็นยาภูมิคุ้มกันรักษามะเร็งขายสำเร็จในปี 2011 ตอนนี้มี 6 บริษัทยายักษ์ใหญ่โลกเป็นเจ้าของสิทธิบัตรผลิตขายทำกำไรมหาศาลเรียบร้อยแล้ว
คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักยาภูมิคุ้มกันรักษามะเร็ง เนื่องจากมีราคาแพงมาก หลอดละ 2 แสนบาทกว่าจะรักษาหายต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 8 ล้านบาท ประเทศร่ำรวยและมีสวัสดิการดีเยี่ยมอย่างอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่คนไทยเจ็บป่วยมีแค่บัตรทอง 30 บาทดูแล คงไกลเกินเอื้อมถึง นอกจากมหาเศรษฐีบางคนที่สามารถจ่ายค่ายาเองได้
การทำงานของภูมิคุ้มกันมหัศจรรย์นี้ว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วย “โรคมะเร็ง” เพราะมะเร็งคือเซลล์ที่ผิดปกติ แล้วเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีหลายหลายสายพันธุ์ จนไปทำร้ายระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์มะเร็งในตับ เซลล์มะเร็งในลำไส้ เซลล์มะเร็งผิวหนัง เซลล์มะเร็งปอด ฯลฯ ที่ผ่านมาวงการแพทย์มี 3 ทางเลือกในการหยุดยั้งเซลล์มะเร็งร้ายเหล่านี้ คือ
1.การรักษาด้วยคีโม หรือเคมีบำบัด (chemotherapy) เป็นการใช้ยาเคมีบางชนิดเข้าไปทำลายการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง แต่การให้ยาคีโมไม่ได้ออกฤทธิ์เจาะจงไปที่เซลล์มะเร็งร้ายเท่านั้นแต่ส่งผลกระทบไปทำลายเซลล์ปกติทั่วไปด้วย ทำให้ร่างกายผู้ป่วยส่วนใหญ่ทุกข์ทรมานจากวิธีการรักษานี้ เช่น อาการอักเสบที่อวัยวะบางแห่ง ภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง ผมร่วง ฯลฯ
2.การรักษาด้วยวิธีฉายแสง หรือการฉายรังสีรักษา (radiotherapy) ด้วยวิธีการใช้รังสีพลังงานสูงไปทำลายก้อนเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่ผลข้างเคียงคือการทำลายเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ใกล้เคียงกับก้อนมะเร็งและอีกวิธีที่นิยมทำกันคือ
3 ใช้ยาพุ่งเป้า (targeted therapy)
3 วิธีการนี้ได้ผลในหยุดยั้งการเติบโตของมะเร็งแค่ในผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเท่านั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์พยายามคิดค้นวิธีการใช้ภูมิคุ้มกันที่เป็นสิ่งวิเศษในร่างกายมนุษย์มาใช้จัดการกับเซลล์มะเร็ง มีการพยายามวิจัยเรื่องนี้มานานเกือบร้อยปีแล้ว แต่ไม่สามารถถอดรหัสได้ จนกระทั่งปี 1995 คุณหมออัลลิสันประกาศความสำเร็จในการค้นพบโปรตีนชื่อ “ซีทีแอลเอ-4” (CTLA-4) บนเซลล์เม็ดเลือดขาว “ทีเซลล์” (T-cell) ที่เป็นภูมิคุ้มกันร่างกายของเรา ซึ่งในร่างกายคนมีทีเซลล์ตัวนี้อยู่เป็นล้านล้านเซลล์แต่มีตัวซีทีแอลเอ-4 ไปยับยั้งการทำงานทำให้ไม่สามารถไปกำจัดเซลล์มะเร็งได้ และในช่วงเวลาใกล้ๆ กันคุณหมอฮอนโจจากญี่ปุ่นก็พบโปรตีน พีดี-1 (PD-1) บนทีเซลล์ และ พีดี-แอล1 (PD-L1) บนเซลล์มะเร็งซึ่งไปจับคู่กันยับยั้งการทำงานของทีเซลล์เช่นกัน
“การค้นพบนี้ถือเป็นการปฏิวัติวิธีการรักษามะเร็งในวงการแพทย์เลย เพราะหลังจากค้นพบไม่นานบริษัทยาใหญ่ๆ ก็รีบลงทุนวิจัยต่อยอดทันที แต่ดูเหมือนวิธีการของคุณหมอฮอนโจจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่า บริษัทยาจึงมุ่งเป้าหาแอนตี้บอดี้ที่หยุดการทำงานไม่ให้ พีดี-1 กับพีดี-แอล 1 จับคู่กันได้ ถ้า 2 ตัวนี้ไม่สามารถจับคู่กันได้ ทีเซลล์ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวหรือระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะทำงานฆ่าเซลล์ร้ายผิดปกติอย่างได้ผล ก็เลยเรียกกันว่ายาภูมิคุ้มกันรักษามะเร็ง หรือยาไบโอโลจิกส์ (Biologics) ที่เป็นตัวแอนตี้บอดี้เข้าไปช่วยระบบภูมิคุ้มกันของเราให้ทำงานได้เต็มที่ไม่ต้องใช้สารเคมีหรือฉายรังสีหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ใช้ระบบร่างกายรักษาตัวเอง”
ฟังดูเหมือนง่ายแต่อุปสรรคอยู่ที่การลงทุนเพื่อผลิตยาไบโอโลจิกส์เหล่านี้คุณหมอไตรรักษ์เล่าว่า 6 บริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลกที่ทำได้ผลอยู่ที่อเมริกาและยุโรป ตอนนี้ยืนยันว่าใช้ได้ผลดีมากกับมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ เช่น ช่วยรักษาผู้ป่วยจากมะเร็งผิวหนังและมะเร็งลำไส้ จากผู้ป่วยที่ต้องเสียชีวิตสามารถใช้ยานี้รักษาจนหายจากมะเร็งได้ถึงร้อยละ 30 ในตอนแรก และยาเริ่มได้ผลเรื่อยๆ สามารถช่วยเป็นร้อยละ 40–50 ถือเป็นยามหัศจรรย์มาก แต่ว่าราคาก็แพงมากเช่นกัน เพราะยาแต่ละตัวบริษัทต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท ล่าสุดองค์การอาหารและยาของอเมริการับรองแล้วว่าใช้ได้ผลหรือมีประสิทธิภาพสูงกับมะเร็ง 15 ชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งไต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งหัวและคอ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะ มะเร็งตับ ฯลฯ
“สำหรับบริษัทยาถือว่าคุ้มเพราะมูลค่าตลาด ยาภูมิคุ้มกันรักษามะเร็งสูงถึง 9 ล้านล้านบาทต่อปี ตอนนี้โรงพยาบาลของไทยก็สั่งเข้ามาหลอดละ 2 แสนบาท และต้องฉีดกระตุ้นทุก 3 อาทิตย์ถ้าได้ผลก็ต้องให้ติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปี ภูมิคุ้มกันถึงจะไปกำจัดและควบคุมเซลล์มะเร็งได้ หมายความว่าต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าคนละ 8-10 ล้านบาท คำถามคือรัฐบาลไทยหรือบริษัทเอกชนในไทยพร้อมจะช่วยกันลงทุนไหมถ้าทำสำเร็จยาแอนตี้บอดี้นำเข้าหลอดละ 2 แสนบาทจะเหลือแค่ไม่ถึงครึ่งหรืออาจเหลือแค่หลอดละ 2 หมื่นบาท ตอนนี้อัตราคนไทยทั่วไปเสี่ยงเป็นมะเร็งร้อยละ 40 หมายความว่าคน 3 คนนั่งอยู่ด้วยกัน 1-2 คนอาจเป็นมะเร็งได้ในอนาคต ตอนนี้คนป่วยมะเร็งเพิ่มปีละเป็นแสนคน รักษาหายหรือควบคุมโรคได้แค่ร้อยละ 50 เราจะช่วยชีวิตผู้ป่วยอีกครึ่งหนึ่งอย่างไรโดยไม่ต้องจ่ายคนละหลายล้านบาท
“ตอนนี้มีเรื่องน่ายินดีมากๆ เลยครับ เพราะเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทีมแพทย์วิจัยจากรพจุฬาฯศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งค้นพบแอนตี้บอดี้แล้ว 1 โคลน หรือ 1 ตัว ที่สามารถหยุดการทำงานไม่ให้พีดี-1 กับพีดี-แอล 1 จับคู่กันได้ ให้ผลในหลอดทดลองใกล้เคียงกับยาแอนตี้บอดี้ราคาแพงของต่างประเทศที่ขายอยู่ทุกคนในทีมวิจัยดีใจมาก กำลังรอตรวจพิสูจน์ว่าในประเทศอื่นๆ มีนักวิจัยพบตัวเดียวกับเราแล้วเอาไปจดสิทธิบัตรหรือยัง ถ้าไม่มีก็พัฒนาต่อเป็นยาได้เลย แต่ถ้ามีแล้วเราก็ต้องค้นหาตัวใหม่ไปเรื่อยๆ ต้องอย่างน้อย 10 ตัว ถึงจะมั่นใจว่าไม่ซ้ำกับของประเทศอื่น”โดยคำนวณไว้ไม่เกิน 2 พันล้านบาท สำหรับ 10 ปี เริ่มจากปี 2018–2028 ในวันนั้นน่าจะผลิตยาภูมิต้านทานรักษามะเร็งได้ตามที่ตั้งเป้าไว้
“ยาภูมิคุ้มกันรักษามะเร็ง” กำลังจะพลิกโฉมวงการแพทย์ ทำให้หน่วยงานรัฐและเอกชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกพยายามแข่งขัน หรือร่วมมือกันนำงานวิจัยที่ได้รางวัลโนเบลมาต่อยอดพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และให้ความสำคัญของการฟื้นชีวิตของคนป่วยให้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้งเป็นการลงทุนที่สำคัญสูงสุด มิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้….
ระหว่างรองานวิจัยเหล่านี้ ทางสถาบันสุขภาพองค์รวมดร.อรวรรณได้ประสบผลสำเร็จในการเพิ่มภูมิต้านทานให้ผู้ป่วยมะเร็งด้วยอาหารแทนยาโดยใช้สารสกัดจากยีสต์ สาหร่ายทะเลนำ้ลึกและแบคทีเรียขั้นดีพร้อมเห็ด7ชนิดร่วมกับการให้วิตามินซีทำให้เพิ่มภูมิต้านทานและจำนวนเม็ดเลือดขาวผู้พิชิตได้อย่างเห็นผลดีภายใน1เดือน และทางสถาบันเพิ่งได้รับรางวัลอาหารเสริมที่ข่วยเพิ่มภูมิต้านมะเร็งและความเสื่อม”Antica “จากงาน ITE International Innovative Trade Expo , London สหราชอาณาจักรอังกฤษ เมื่อ 30 ส.ค.ศกนี้
โดยสรุปแนวทางเพิ่มภูมิต้านมะเร็งที่ได้ผลจากประสบการณ์กว่า30ปีด้านการแพทย์ชะลอวัย พบว่าสามารถช่วยต้านมะเร็งด้วยแนวเพิ่มภูมิบำบัดตามธรรมชาติอย่างได้ผลดีคือการใช้สารสกัดจากอาหารต่างๆดังนี้
- VitaminC hi mega dose
- Oligofucoidans”Brown Seaweed”
- Enzyme extract from probiotic& mushroom ”Oradee”
- Betagucans 1,3/1,6 from yeast extract
- “3-Pla”
- “Sesameal”
- “Antica”
ปัจจุบันมีรายงานความสำเร็จเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆทำให้เพิ่มภูมิคุ้มกัน เพิ่มคุณภาพชีวิต ยืดอายุ สุขภาพกลับมาแข็งแรง อ่อนวัยและผิวพรรณสดใสขึ้นอย่างชัดเจนคะ
บทความ มะเร็งอื่นๆ
- 9 ประโยชน์ของบร็อคโคลี ที่ทุกคนไม่ควรพลาด
- ขิง (GINGER) วันละนิด ช่วยพิชิตมะเร็งร้าย
- มะเร็งคืออะไร? สถานการณ์โรคมะเร็งในปัจจุบันและแนวทางการต่อสู้กับมะเร็ง
“สุขภาพดีเป็นสุนทรียภาพและความงามคือความสุข”
สนใจ ปรึกษาสอบถามเรื่องสุขภาพได้ที่
ADD US ON LINE
FACEBOOK PAGE
โทร (Call) +662 661 4431
อีเมล์ (E-mail) info@drorawan.com
#drorawan #sukhumvit #docter #skin #holistic #beauty #สุขภาพ #ความงาม #tips