รักตัวเองนะ
ความรักตัวเองสัมผัสได้จากเสียงที่เราพูดกับตัวเอง
เวลาที่เรารักใคร เราคงไม่พูดกับเขาด้วยความรู้สึกอยากจะเหยียบย่ำเขา แต่พูดกับเขาด้วยความเมตตากรุณา
ต่อให้เขาทำผิด ถ้าเป็นคนที่เรารัก เราก็คงไม่ด่าเขาแรงๆ แต่เราจะพูดกับเขาดีๆ อย่างมีเหตุผล ให้อภัยเขา เชื่อมั่นว่าเขาจะปรับปรุงแก้ไขได้ และเป็นกำลังใจให้เขาด้วย
ปฏิบัติกับตัวเราด้วยความรัก ความใส่ใจแบบเดียวกับเวลาที่เรารักใครสักคน และทำให้ความสัมพันธ์กับตัวเราเองเป็นความสัมพันธ์ที่แข็งแรง
Self love = Embracing yourself, with all its qualities, wholeheartedly
รักตัวเองหมายถึงการโอบรับตัวเองในทุกคุณภาพที่เราเป็นด้วยความรักอย่างหมดหัวใจ
รับมาทั้งหมดไม่ว่าข้อดีหรือข้อเสีย รับมาเป็นแพ็คคู่ และเชื่อว่าเราสามารถพัฒนาได้
ในเวลาที่ดีที่สุด เราก็รัก และในเวลาที่แย่ที่สุด เราก็ยังรัก เพราะเรารักคนคนนี้อย่างหมดหัวใจ
การรักตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญ เมื่อเรารักตัวเองได้แล้ว เราก็จะรักคนอื่นได้ดีเช่นกัน
แล้วรักตัวเอง ต่างกับ “เห็นแก่ตัว” อย่างไร?
การเห็นแก่ตัวบางทีก็เป็นเรื่องดี เพราะมันคือการมองในมุมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา
ถ้าคิดถึงคนอื่นอย่างเดียว จนไม่มีตัวเราเองอยู่ในสมการความสัมพันธ์เลย แล้วบอกว่า นี่ไง! ฉันเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น แต่ตัวเราเองลำบาก เราเป็นฝ่ายสูญเสีย มันก็กลับมาทำร้ายตัวเราเองได้เหมือนกัน
แต่ถ้าเห็นแก่ตัวเลยเถิดไปถึงจุด “เห็นแค่ตัว” คือเห็นแค่ตัวเราอย่างเดียว ไม่เห็นคุณค่าของคนอื่นๆ เลยในสายตา ตัดคนอื่นออกจากสมการหมด หรือไปเบียดเบียนคนอื่น เป็นแบบนี้จะไม่ใช่แค่ทำร้ายคนอื่นแต่ทำร้ายตัวเราเองด้วยเหมือนกัน
การรักตัวเองจึงเป็นการเอาทั้งตัวเองและคนอื่นเข้ามาอยู่ในสมการความสัมพันธ์ มองเห็นคุณค่าของตัวเอง มองเห็นคุณค่าของคนอื่น อย่างเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์
วิธีคิดแบบไหนที่ทำให้เรารักตัวเองในเวลาที่เผชิญกับความยากลำบาก?
ผมมองว่า ตัวเราจะเป็นคนแบบไหนมาจากสิ่งที่เราพูดกับตัวเอง หรือเรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟังผ่านความคิดที่เรามี
เวลาที่เราเจออุปสรรคหรือปัญหาในชีวิต ความคิดในหัวแวบแรกของเราคงเป็น “ฉิบหายแล้ว!”
ถ้าเราบอกตัวเองว่า แกมันห่วย แกมันได้แค่นี้ แกทำไม่ได้หรอก ฯลฯ แปลว่าเรามี Fixed Mindset ที่เชื่อว่า คนเราไม่สามารถพัฒนาได้ อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นได้ เราก็จะไม่พัฒนาไปด้วย
แต่อยากให้เราพัฒนา Growth Mindset คือการเติมเสียงที่เป็นบวกให้กับตัวเอง เช่น ฉิบหายแล้ว…แล้วยังไงต่อดีนะ แปลว่าเราเห็นปัญหาและเราอยากจัดการมันให้ได้ เรามองเห็นปัญหาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้แสดงฝีมือ ได้เรียนรู้และปรับปรุง ผ่านปัญหานี้ได้เราจะเก่งขึ้น
เวลาเจอเรื่องแย่ๆ มันอาจจะเป็น Bad minutes, Bad hours, Bad days แต่ไม่ได้แปลว่า เรามี Bad life นะ
พอเราฝึกให้มี Growth Mindset เราก็จะรู้จักรักตัวเองมากขึ้น พูดสิ่งดีๆ กับตัวเอง พาตัวเองไปสู่ทางที่ดีได้
ในชีวิตจริง เราจะเจออุปสรรคเต็มไปหมด “Don’t give up too soon” อย่ายอมแพ้เร็วเกินไป
ถ้าเรายอมแพ้เร็วเกินไปหรือง่ายไป บางทีเราไม่ทันได้พิสูจน์ตัวเองเลยว่าเราทำได้แค่ไหน บางทีเราอยู่ใกล้มากแล้วแต่เราล้มเลิกก่อน เราก็จะไม่ทันได้ไปถึงเป้าหมาย
อะไรที่อยู่ในความรับผิดชอบของเรา เราทำให้เต็มที่ ทำแล้วเราก็เติบโตไปด้วย
การทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ การรับผิดชอบอย่างดีที่สุด การอดทนมุ่งมั่นต่อสู้กับอุปสรรค ก็เป็นการแสดงออกว่าเรารักตัวเองเหมือนกัน
Don’t give up too soon ในที่นี้จึงไม่ได้แค่แปลว่า อย่ายอมแพ้ต่องานเร็วเกินไป แต่รวมไปถึงอย่าล้มเลิกความตั้งใจดีที่เรามีต่อตัวเองเช่นกัน
แล้วเราจะทำอะไรที่เป็นการรักตัวเองได้บ้าง?
เริ่มจากการฟังเสียงตัวเองว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่
ชมตัวเองบ้าง ซึ่งสำหรับบางคน แม้กระทั่งการชมตัวเองในสิ่งที่เราทำดียังยากเลย เพราะเราไม่เคยฝึก หรือถูกหล่อหลอมมาด้วยชุดความคิดว่า “ชมมากไปเดี๋ยวเหลิง” หรือคิดว่า “อย่าชมตัวเอง ให้คนอื่นมาชมดีกว่า” ก็เลยชมไม่เป็น
การชมตัวเองต้องดูตามเนื้อผ้า อะไรที่เราทำดีก็ควรชื่นชม ได้มีแรงอยากทำดีต่อไป อะไรที่เราทำไม่ดี ไม่ใช่ว่าเราทำเบลอมองไม่เห็นไปเลย แต่เราควรเป็นกำลังใจให้ตัวเองได้พัฒนาตัวเองต่อไป
การ Say No ในสิ่งที่เราไม่โอเคเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่าเราไม่โอเค แต่เรายัง Say Yes อยู่ เราก็จะต้องแบกความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองมาด้วย
การ Say No ในสิ่งที่เราพิจารณาถี่ถ้วนแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ มันคือการกำหนดขอบเขตไม่ให้คนล้ำเส้นหรือเอาเปรียบเราได้ เป็นการยืนยันจุดยืนของเรา รวมไปถึงรักษาคุณค่าของตัวเราด้วย
เพราะเมื่อไรก็ตามที่เรากลายเป็นคนที่ใครขอให้ทำอะไรก็ Say Yes อยู่ตลอดเวลา เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่ไม่มีค่าในสายตาของคนที่ขอได้ และนำไปสู่การเอาเปรียบ จะทำอะไรกับเรา เราก็ดูจะยอมหมด แบบนี้ไม่ถูก
แต่ไม่ได้หมายความว่า ใครให้ทำอะไรเราก็ Say No ไว้ก่อน ให้กลับมาพิจารณาว่าสิ่งนี้ทำแล้วได้อะไร คุ้มค่าไหมกับการลงมือทำ ประโยชน์อะไรที่จะเกิดขึ้นกับเราและคนอื่นบ้าง
มันควรเป็น Win-Win ที่ทุกคนได้ประโยชน์หมด ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตักตวงผลประโยชน์ฝ่ายเดียว แล้วอีกฝ่ายก็สูญเสียแพ้แล้วแพ้อีก
Gratitude Diary
บันทึกว่าแต่ละวันมีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง
มันคือการฝึกให้เรามองเห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีคุณค่ามหาศาล
แล้วเวลากำลังใจตก หรือรู้สึกแย่กับตัวเอง ให้เอาบันทึกนี้มาอ่าน เราจะได้ไม่จมไปกับความรู้สึกว่าฉันไม่มีค่าอะไรเลย
Gratitude Diary ในวันนี้บันทึกไว้ว่า ดีใจที่ได้ให้ทุกคนได้อ่านและกลับมารักตัวเอง
หวังว่าการได้อ่านบทความวันนี้ จะเป็น 1 ในสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีในวันนี้ด้วยเช่นกันนะ
Cr: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อาวรรณ
www.drorawan.com
E mail : info@drorawan.com
Line: @drorawan
Fb: drorawanholistic
IG: dr.orawan
TikTok: @drorawanclinic
Tel: Bangkok: 061-656-2395, 02-6614431
Phuket: 086-896-6103, 076-377679
#รักตัวเอง #เห็นคุณค่า #ให้อภัย #เมตตา #หวังดี #ปรับปรุง #พัฒนา #gratitude #ขอบคุณ #win-win #yes #no #เห็นแก่ตัว #Don’t give up #อย่ายอมแพ้ #ชมตัวเอง #mindset