fbpx

รอยคล้ำใต้ตา ควรรักษาอย่างไร?

รอยคล้ำใต้ตา ควรรักษาอย่างไร?

มิถุนายน 26, 2019
รอยคล้ำใต้ดวงตา

ปัญหาใต้ตาคล้ำ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ทุกข์ใจสำหรับสาวๆที่ต้องแต่งหน้าเพื่อกลบเกลื่อนเป็นประจำ ไม่สามารถโชว์หน้าสดได้ บางครั้งการพึ่งคอลซิลเลอร์อาจยังไม่เพียงพอ ดังนั้นการดูแล รักษาอย่างตรงจุดและถูกวิธีสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างดี และสาเหตุของรอยคล้ำได้ตามีหลายประการด้วยกัน

1. การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาด้านความงามของดวงตา เนื่องจากดวงตามีความบอบบางเป็นพิเศษ เมื่อเราพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลให้เส้นเลือดที่อยู่ใต้ตาเริ่มขยายตัวขึ้นจนสามารถสังเกตุได้ว่าผิวบริเวณใต้ตามีรอยคล้ำแบบชัดเจน

2. การมีเบ้าตาลึกหรือมีโหนกแก้มสูง

สำหรับคนที่มีขอบตาลึกหรือมีโหนกแก้มสูงจะพบปัญหาใต้ตาคล้ำ ถึงแม้จะนอนหลับพักผ่อนเพียงพอก็ไม่สามารถกำจัดปัญหานี้ได้

3. เกิดจากอาการภูมิแพ้ต่างๆ

ภูมิแพ้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยคล้ำบริเวณใต้ดวงตาในบางคนอาจมีรอยคล้ำถึงบริเวณเปลือกตา โดยเกิดจากการที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำทำให้เกิดรอยสีเขียวและหากภูมิคุ้มกันต่ำมากๆจะเป็นสีม่วง

4. การสัมผัสบริเวณตาอย่างรุนแรง

คนส่วนใหญ่เมื่อรู้สึกระคายเคืองบริเวณดวงตาจะใช้มือขยี้อย่างรุนแรง ซึ่งการขยี้อย่างรุนนอกจากจะส่งผลให้เกิดรอยเหี่ยวย่นและตีนกาได้ง่าย ยังสามารถทำให้เกิดรอยคล้ำบริเวณใต้ตาได้ด้วย และหากยังขยี้ตาติดต่อกันเป็นประจำจะทำใหผิวหนังบริเวณใต้ตามีความหนามากขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของรอยคล้ำใต้ตาถาวร

5. ผิวใต้ตาแห้ง

เกิดจากการที่ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอหรืออยู่ในสภาพอากาศที่แห้งเกินไป ส่งผลให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเหี่ยวย่น มีรอยคล้ำใต้ตาและผิวหยาบกร้าน

6. ไขมันสะสมและมีคอลลาเจนน้อยลง

ถุงใต้ตาที่เกิดจากชั้นไขมันสะสมและคอลลาเจนลดลงตามวัย ทำใหถึงผิวใต้ตาห้อยชัดเจนขึ้นร่วมกับรอยคล้ำ เมื่อถุงใต้ตาของเราเกิดการบวมมากเกินไป แสงและเงาที่ตกกระทบจะทำให้เห็นรอยคล้ำชัดเจนยิ่งขึ้น โดยทุกคนสามารถเปิดได้แต่อาจจะเป็นในช่วงอายุที่แตกต่างกัน บางคนอาจเกิดขึ้นตั้งแต่อายุ16ปีหรือบางคนอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ 30 ปี ขึ้นไป

7. ฮอร์โมนไม่สมดุลย์

กรณีนี้จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งรอยคล้ำใต้ตาเป็นหนึ่งสัญญาณเตือนว่าร่างกายเราเกิดความไม่สมดุลย์ของฮอร์โมน

ขอแนะนำมีวิธีการดูแลรักษารอยคล้ำใต้ตาหลายวิธีด้วยกันค่ะ

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยลดความเครียดและความเมื่อยล้าของร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้นอีกด้วย

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำจะช่วยให้เลือดในเส้นเลือดฝอยไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้รอยคล้ำใต้ตาจางลง ผิวดูอิ่มน้ำไม่หยาบกร้าน ช่วยลดริ้วรอยบริเวณรอบรอบดวงตา

3. การใช้ครีมบำรุงบริเวณรอบดวงตา

ครีมบำรุงบริเวณรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของรอยคล้ำใต้ตา อาทิ ว่านหางจระเข้ที่มีวิตามินซี แตงกวา ชาเขียว ซึ่งต้องใช้เป็นประจำและระมัดระวังบริเวณดวงตาเป็นพิเศษ

4. ฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มร่องใต้ตาที่ลึกให้ดูตื้นขึ้น และช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาให้จางลง

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์สำหรับใต้ดวงตาและผิวที่บอบบาง ที่นอกจากช่วยให้ผิวอิ่มเต็มแล้วยังกลบรอยคลำ้ของเส้นเลือดด้านล่างได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพราะผิดพลาดถึงขั้นตาบอด หรือเลือกชนิดไม่ดีจะเห็นเป็นก้อนๆใต้ตาให้กลุ้มใจกว่าเดิมได้คะ

5. โบท็อกซ์

การฉีดโบท็อกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีฝีมือจะช่วยกระชับผิวรอบดวงตาและลดริ้วรอยได้อย่างสดใสทันตา และยิ่งมีการร้อยไหมเทคนิคพิเศษที่ช่วยกระชับผิวด้วย ผลลัพธ์ยิ่งจะดีขึ้นไปอีกค่ะ

6. การทำเลเซอร์

เลเซอร์ Pico second จะช่วยกำจัดรอยคล้ำและกระชับผิวรอบดวงตาได้อย่างดี

7. พบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุภายใน

เช่น ภูมิแพ้หรือภาวะไม่สมดุลย์ของฮอรโมนหรืออาจมีปัญหาจากโรคทางเดินอาหารที่แสดงออกทางผิวเปลือกตา ซึ่งแพทย์จะช่วยพิจารณาและดูแลทั้งภายนอกและภายในเพื่อความงามที่สมบูรณ์ เพราะผิวบอกปัญหาภายใน ซึ่งถ้าได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องจะเป็นทั้งการรักษาและป้องกันโรคไปพร้อมกับการได้ความงามด้วยคะ

บางวิธีอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพร้อมอาหารเสริมสำหรับผิวและดวงตาก็มีส่วนช่วยได้ ร่วมกับการทาคอนซิลเลอร์บริเวณใต้ตาจะสามารถช่วยกลบเฉพาะการณ์ได้คะ

ใส่ใจในสุขภาพและสัญญานที่ร่างกายแสดงออกทางผิวและดวงตาเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามนะค่ะ และการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยได้มากค่ะ ผิวสวยและสุขภาพที่สดใสแข็งแรงจะได้อยู่คู่กับเราไปนานๆคะ

ด้วยความปรารถนาดีจาก สถาบันสุขภาพผิวหนังและการชะลอวัย ดร.อรวรรณ

Add a comment

*Please complete all fields correctly

Related Blogs/บทความที่น่าสนใจ

Posted by Dr. Orawan | พฤษภาคม 31, 2023
หัวไชเท้า ทานอาหารเป็นยา
หัวไชเท้า ❤️ เมื...
Posted by Dr. Orawan | พฤษภาคม 31, 2023
HIIT ( high intensity interval training )
HIIT ( high intensity interval...
Posted by Dr. Orawan | ธันวาคม 20, 2022
ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดคือช่วงที่ความมั่นใจในตัวเองพุ่งถึงขีดสูงสุด
ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดคือช่ว...