คีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic Diet) หรือ Keto Diet หลายคนจะคิดว่าสูตรการรับประทานอาหารนี้ มีไว้สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักเท่านั้น ความจริงยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโรคที่อีกหลายคนยังไม่เคยรู้คะ
สูตรไดเอตนี้จะได้ผลจริงหรือเปล่า มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และช่วยรักษาโรคอะไรได้บ้าง
คีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic Diet) คืออะไร?
คีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic Diet) คือ สูตรการรับประทานอาหารที่เน้นโปรตีนและไขมันแต่โลว์คาร์บ (Low Carbs) เพื่อเร่งการเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น
อาหารที่เป็นไขมันต้องเป็นไขมันดี และต้องรับประทานให้ได้ถึง 70-80% ของปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน
แหล่งไขมันดีที่แนะนำ มีดังนี้
- ปลาแซลมอน (Salmon)
- เนื้อสัตว์ (Lean Meats) เช่น เนื้อวัว เนื้ออกไก่ และเนื้อหมู
- ไข่แดง (Egg Yolk)
- ผลิตภัณฑ์นม (Dairy) เช่น นมวัว ชีส และเนยสด เป็นต้น
- พืชตระกูลถั่วและเมล็ดธัญพืช (Nuts & Legumes) เช่น เมล็ดเจีย (Chia Seeds) และเมล็ดแฟลกซ์ (Flax Seeds) เป็นต้น
- น้ำมันมะกอก (Olive Oil) และน้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)
- MCT Oil ที่ร่างกายดูดซึมได้เลย
- หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ (Trans Fat)
พอร่างกายเราได้รับคาร์โบไฮเดรตน้อยลง และได้ไขมันเข้ามามากขึ้น การปรับการทำงานของระบบเผาผลาญของร่างกาย ก็จะเข้าสู่สภาวะเลียนแบบการอดอาหาร หรือ Fasting
ผลที่ตามมา คือ ร่างกายเราจะดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้ในส่วนที่ลดยากๆ เช่น สะโพก ต้นขา ต้นแขน และพุง มาใช้เผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาลกลูโคส
เมื่อร่างกายเราดึงไขมันออกมาใช้แทนน้ำตาล ตับ (Liver) และตับอ่อนก็จะทำงานดีขึ้นและไม่จำเป็นต้องหลั่ง ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายเข้าสู่สภาวะนี้ เราจะเรียกว่า “ร่างกายอยู่ในสภาวะคีโตซีสหรือ Ketosis”
คีโตไม่ใช่เรื่องใหม่ค่ะ เพราะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคลมชัก (Epilepsy) หรือโรคเจ็บป่วยที่ระบบประสาท มาตั้งแต่ปี 1980 แล้ว และต่อมาก็ได้มีการทำการวิจัยศึกษาถึงประโยชน์อื่นๆ จนกลายเป็นหนึ่งในสูตรลดน้ำหนักสร้างกล้ามที่นิยมมากที่สุดในหมู่วัยรุ่นวัยทำงานในวันนี้
สูตรคีโตเจนิค ไอเดต ควรรับประทานอาหารอย่างไรบ้าง?
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไม่ว่าจะเป็น ข้าวกล้อง ขนมจีน โดนัท เส้นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และน้ำตาลเป็นสิ่งที่ต้องเลี่ยงให้หมด หรือควบคุมปริมาณให้เหลือนิดเดียว ปริมาณคาร์โบไฮเดรตสุทธิไม่ควรเกินวันละ 50 กรัม หรือประมาณแอปเปิ้ล 2-3 ลูกค่ะ
อาหารที่ควรเน้น คือ โปรตีน (Protein) และไขมันดี (Healthy Fat) สุขภาพจะดีขึ้นได้ต้องฉลาดที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ปริมาณโปรตีนที่แนะนำต่อวัน คือ ไม่ควรเกิน 35% ของปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน เพราะถ้ามากกว่านี้ร่างกายเราสามารถเปลี่ยนโปรตีนไปเป็นน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ได้ ซึ่งเราก็จะหลุดจากภาวะ Ketosis
แหล่งโปรตีนที่แนะนำ มีดังนี้
- ปลาดุก (Cat Fish)
- ชีส ครีม นม (Dairy)
- เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Lean Meat)
- ปลาทูน่าและปลาแซลมอน (Tuna & Salmon)
- ถั่วพิตาชิโอ (Pistachio)
- ข้าวโอ๊ต (Oats)
ผลข้างเคียงจากคีโตเจนิค ไดเอต มีอะไรบ้าง?
ในช่วง 2-3 อาทิตย์แรกที่ร่างกายต้องปรับตัวกับการใช้ไขมันเป็นพลังงานทดแทน เราอาจจะมีอาการดังนี้ค่ะ
- เป็นไข้หวัดคีโตน ซึ่งจะมีอาการสะลึมสลือ ไม่สดชื่น และสมองตื้อค่ะ
- มีอาการปวดหัว
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยสบายตัว
- กลิ่นปากแรงขึ้น
- มีอาการท้องผูกหรือแน่นท้อง
- นอนไม่ค่อยหลับ
- ระดับฮอร์โมนแปรปรวณ
ผลข้างเคียงจะเกิดขึ้นในช่วงแรกๆเท่านั้น พอร่างกายเริ่มปรับตัวได้อาการเหล่านี้ก็จะหายไปกลับรู้สึกสดชื่น ทำงานและออกกำลังกายได้อึด ไม่เหนื่อยง่าย ไม่ง่วงนอนตอนบ่ายอีกต่อไป
คีโคเจนิค ไดเอต สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
โรคเบาหวาน (Diabetes) ที่พบมากทั่วโลกจะเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มากเกินไป ซึ่งจำนวนผู้ป่วยตอนนี้มีมากถึงประมาณ 400 ล้านคนทั่วโลก
ในผู้ป่วยเบาหวานนั้น ระดับอินซูลินในกระแสเลือดจะสูงตลอดเวลา จนทำให้อวัยวะภายในมีปัญหา อีกทั้งระบบเผาผลาญของร่างกาย Metabolism มีปัญหาตามมา ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เมื่อเราจำกัดปริมาณคาร์โบไฮดรตต่อวันให้ไม่เกิน 50 กรัม ต่อวัน (ซึ่งถือว่าน้อยมาก) ร่างกายจะดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานทดแทนมากขึ้น
ผู้ป่วยเบาหวานที่เปลี่ยนมารับประทานอาหารสูตรคีโต จึงสามารถลดไขมันได้เร็วขึ้น ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2 (Diabetes Type II) จะมีการตอบสนองต่ออินซูลินที่มากขึ้น อาจถึง 75% เลยทีเดียว และพอร่างกายเรามีไขมันส่วนเกินน้อยลง การทำงานของเมตาบอลิซึมก็จะดีขึ้นตามลำดับ
เมื่อผู้ป่วยเบาหวานสามารถลดน้ำหนักและลดไขมันให้มาอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ยาที่เคยรับประทานอยู่ทั้งยาลดไขมันและยาลดน้ำตาลในเลือด ก็จะไม่จำเป็นต้องทานอีกต่อไปเลยค่ะ
อาหารผู้ป่วยเบาหวานเป็นแบบโลว์คาร์บ หรือมีคาร์โบไฮเดรตน้อยเหมือนสูตรคีโตเจนิค ไดเอต ซึ่งมีดังนี้ค่ะ
- เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอกหรือสันในไก่ และอาหารทะเล
- ไข่ (Eggs) (ควรรับประทานทั้งฟอง)
- ชีส (Cheese)
- ผักที่มีแป้งต่ำ (Non-starchy vegetables) เช่น กระหล่ำปลีบรอคโคลี ผักโขม คะน้า เทอร์นิบ เป็นต้น
- อะโวคาโด (Avocado)
- น้ำมันมะกอก (แนะนำแบบสกัดเย็น หรือ Extra-virgin)
- น้ำมันมะพร้าวและเนย
9 อาหารต้องห้ามสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- ขนมปัง พาสต้า อาหารเช้าซีเรียล และข้าวโพด
- มันเทศ มันฝรั่ง แยม และเผือก
- ถั่วเลนทิล
- นมวัว
- ผลไม้ ยกเว้นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
- น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา/กาแฟเย็น ชานมไข่มุก
- เบียร์และแอลกอฮอล์
- เมนูหวาน เช่น บวชฟักทอง/กล้วย
- เมนูเบเกอรี่ ไอศกรีม และลูกอม
ก่อนหยุดหรือเริ่มรับประทานอาหารชนิดไหน หมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะอาจจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการน้ำตาลต่ำได้ค่ะ
คีโคเจนิค ไดเอต สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ
สาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ คือ การไหลเวียนโลหิตไม่ดี ซึ่งตัวที่ไปขัดขวางการไหลเวียนโลหิตก็คือ คอเลสเตอรอลเลว (Low Density Lipoprotein) และไขมันในร่างกาย (Body Fat)
เมื่อร่างกายเรามีคอเลสเตอรอลชั้นเลวและไขมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะเกิดการอักเสบและเกิดการพอก plagues หรือตะกรันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ตีบหรือไม่ยืดหยุ่น ทำให้ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นตามมา จนกลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) บวกกับการที่น้ำตาลในเลือดสูงด้วย ความรุนแรงยิ่งมีมากขึ้น
คีโคเจนิค ไดเอต จะเป็นตัวช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจได้ดี เพราะเป็นสูตรอาหารที่ลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอลเลว (LDL) และยังกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นด้วย
คีโคเจนิค ไดเอต สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งสมอง
คำกล่าวที่ว่า “น้ำตาลและมะเร็งเป็นของคู่กัน” ซึ่งทฤษฎีนี้มีมาตั้งแต่ปี 1924 แล้วคะโดยดร. Otto Warburg ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาชีววิทยาด้านเซลล์ในเรื่องนี้ด้วย เซลล์มะเร็งชอบน้ำตาลที่ได้จากอาหารขยะ โดยเฉพาะอาหารฟาสฟู้ดส์ น้ำตาลร่วมกับไขมันทรานส์ยิ่งอาจจะทำให้มะเร็งเติบโตมากขึ้น
แน่นอนว่า เมื่องดหรือลดปริมาณน้ำตาลลง และเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีไขมันดี และโปรตีนที่ได้จากแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การรักษาโรคมะเร็งก็จะทำได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นได้ทำการศึกษาพบว่า คีโคเจนิค ไดเอต อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อร้าย โดยเฉพาะมะเร็งสมอง
คีโคเจนิค ไดเอต สำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โรคลมชักและโรคพาร์กินสัน
แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้ป่วยทางสมอง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน ใช้สูตรคีโคเจนิค ไดเอต เพราะเมื่อเกิดอาการทางสมอง โดยเฉพาะอาการชักที่ยาแผนปัจจุบันไม่สามารถระงับอาการได้ เมื่อให้คีโคเจนิค ไดเอต สามารถช่วยให้ควบคุมการชักได้ดีมากขึ้นถึง 50%
ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนบำบัดผู้เชี่ยวชาญก่อนเพราะผู้ป่วยต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากต้องมีการจำกัดปริมาณสารอาหารที่ถูกต้อง เช่น อาจจะต้องรับประทานไขมัน 3-4 กรัม ต่อปริมาณคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน 1 กรัม
แหล่งอาหารโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเป็นตัวแปรสำคัญและต้องควบคุมคุมให้ดีค่ะ
ต้องควบคุมปริมาณแคลอรี่ให้พอดีกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งแต่ละคนจะมีความต้องการไม่เท่ากัน
คีโคเจนิค ไดเอต สำหรับผู้ป่วยโรค PCOS (Polycystic Ovary Syndrome)
โรค PCOS เป็นโรคที่เกิดกับผู้หญิงที่มีปัญหากับระบบไร้ท่อ เช่น อาจจะมีถุงน้ำในรังไข่มากเกินไป ไข่ไปเกาะเป็นผังผืดอยู่ที่ปีกมดลูก หรือบางทีมีความผิดปกติกับระดับอินซูลิน ภาวะไข่ไม่ตกก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ประจำเดือนมาไม่ปกติ น้ำหนักขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ขนอาจจะดกบางที่ แต่อาจมีผมร่วงในบางเคส
แนะนำให้ตรวจหาโรคเบาหวาน โรคไต ไขมันพอกตามอวัยวะ และเช็คระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ด้วย
คีโคเจนิค ไดเอตจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาโดยช่วยปรับระดับฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดโรค PCOS ค่ะ
คีโคเจนิค ไดเอต สำหรับคนที่เป็นสิว
น้ำตาลที่ได้จากอาหารให้ผลไม่ดีต่อสุขภาพหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็ คือ สิว (Acne) โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
คีโคเจนิค ไดเอต เป็นสูตรที่ไม่เน้นให้เรารับประทานอาหารแปรรูปและอาหารที่มีน้ำตาลสูง จึงเป็นการรักษาสิวและดูแลผิวในเวลาเดียวกันค่ะ
Take Home Message
คีโคเจนิค ไดเอต น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับบางคนโดยเฉพาะคนที่มีเลือดกรุ๊ป O (เป็นกรุ๊บที่เหมาะกับการทานเนื้อสัตว์ได้)ในการลดน้ำหนัก ลดไขมัน และลดอาการข้างเคียงที่เกิดจากโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง
ก่อนที่เริ่มทำตามคีโคเจนิค ไดเอต ควรปรึกษาแพทย์และนักโภชนบำบัดผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและตรวจสภาพร่างกายถึงมีความพร้อมสำหรับสูตรไดเอตนี้
อย่าลืมเรื่องการรับประทานผักและผลไม้ไม่หวาน และเรื่องวิตามินและเกลือแร่เพื่อความสมดุลย์ด้วยนะคะ
สนใจสอบถามเกี่ยวกับเรื่องคีโคเจนิค ไดเอต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การรักษาโรคด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ สามารถติดต่อมาที่สถาบันสุขภาพผิวหนังและการแพทย์ชะลอวัยดร. อรวรรณได้ที่
– สาขากรุงเทพ: สุขุมวิท 02-6614431
– สาขาภูเก็ต: 076-377679
– แวะสอบถามด้วยตนเองกับทีมงานของเราได้ที่ สถานี BTS ชิดลม ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30–18:30 ค่ะ
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ นะคะ ช่วยกด Share ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ